การค้นหาขั้นสูง

หมวดหมู่
การแบ่งคลัง 5 ประเภท ที่นิยมในปัจจุบัน
[Like สาระโลจิสติกส์ ] โดย นายภาณุพงศ์ คำผาด วิศวกรปฏิบัติการ กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม . สวัสดีครับ พบกันอีกเช่นเคยกับ Like สาระโลจิสติกส์ วันนี้แอดมินก็ได้ติดค้างจากครั้งที่แล้วในการแชร์เรื่องการแบ่งประเภทคงคลังว่าในปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมของเรานิยมแบ่งคลังสินค้าแบบไหนบ้าง แฟนเพจเคยสงสัยไหมครับว่าก่อนที่เราจะวิเคราะห์ พัฒนา ปรับปรุง คงคลังของเรานั้น เราจะเริ่มจากอะไรดี ? เราอยากได้ข้อมูลเพื่อมาวิเคราะห์ปัญหาเราจะกำหนดกรอบแนวคิดอย่างไรดี? แน่นอนครับ ถ้าเราไม่มีเครื่องมือในการกำหนดขอบเขต หรือการแบ่งประเภทของปัญหาที่เราต้องการจะทราบ จะส่งผลให้เราเสียเวลาในการคิดวิเคราห์ แม้แต่กระทั้งการเก็บข้อมูลเพื่อดำเนินการบริหารจัดการคงคลังของเรา ถ้าหากแฟนเพจนำเทคนิคที่แอดมินแนะนำ อาจจะเห็นภาพว่าการทำงาน 100% ของคงคลังเรา เราใช้เวลา ใช้ทรัพยากรกว่า 80% ไปกับสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นเลยก็เป็นได้ และการแบ่งประเภทสินค้าคงคลังนั้น มีอะไรบ้างแอดมินมีตัวอย่างมาให้ดูด้วย เรามาดูไปพร้อมๆ กันเลยครับ . . การแบ่งคงคลัง 5 ประเภทที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน . 1. ABC Classification การแบ่ง ABC เรามักจะได้ยินกันบ่อยมาก ถึงบ่อยที่สุด เพราะเป็นที่นิยมสูง ซึ่ง ABC ก็เป็นการประยุกต์กฏของพาเรโตที่ว่า สาเหตุหลัก 20% ส่งผลทำให้เกิดผลลัพธ์ 80% การแบ่งคงคลังก็เช่นกัน แบ่งแบบ ABC จะตามมูลค่าและปริมาณ โดยเราจะกำหนด ดังนี้ . กลุ่ม A เป็นสินค้าคงคลังที่มีปริมาณน้อย (5 – 15% ของสินค้าคงคลังทั้งหมด) แต่มีมูลค่ารวมค่อนข้างสูง (70 – 80% ของมูลค่าสินค้าคงคลังทั้งหมด บางแห่งกำหนดไว้ถึง 90%) . กลุ่ม B เป็นสินค้าคงคลังที่มีปริมาณปานกลาง (30% ของสินค้าคงคลังทั้งหมด) และมีมูลค่ารวมปานกลาง (15% ของมูลค่าสินค้าคงคลังทั้งหมด) . กลุ่ม C เป็นสินค้าคงคลังที่มีปริมาณมาก (50 – 60% ของสินค้าคงคลังทั้งหมด) แต่มีมูลค่ารวมค่อนข้างต่ำ (5 - 10% ของมูลค่าสินค้าคงคลังทั้งหมด) . ขั้นตอนการจัดลำดับความสำคัญ ABC Classification มีดังนี้ - จัดทำข้อมูลสินค้าคงคลัง โดยมีรายละเอียดเป็นจำนวนสั่งซื้อต่อปี และราคาต่อหน่วยของสินค้าแต่ละชนิด - คำนวณหามูลค่าในการซื้อสินค้าคงคลังแต่ละชนิดที่หมุนเวียนในรอบปีนั้น - จัดลำดับข้อมูลตามลำดับของมูลค่าในการซื้อสินค้าคงคลังจากมากไปหาน้อย - หาค่าเปอร์เซ็นต์ของหน่วยสะสมในแต่ละชนิดของสินค้าคงคลัง - นำเป็นเปอร์เซ็นต์มาเขียนเป็นกราฟ แล้วแบ่งชนิด ABC ตามความเหมาะสม . ภาพที่ 1 กราฟจำแนกวัสดุคงคลังตามหลัก ABC . หลังจากทำ ABC แล้วเราสามารถลดชั้นตอน ลดเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ เช่น การนับสต๊อกจากเดิมนับทั้งหมด ก็อาจจะกำหนด Cycle Count แค่ A ที่บ่อย หรือการดูแลรักษาแม้กระทั่งค่าประกันสินค้า ก็อาจจะลงรายละเอียดที่ A เป็นพิเศษ หากเราต้องการ Lean (ลีน) คงคลัง เราก็จะจับ A นี้แหละมาพิจารณาก่อนว่าสาเหตุที่การมีมูลค่าสูงเพราะอะไร ประกอบการการ Turnover หรือความสำคัญด้านอื่นๆ เพื่อหาปัญหาได้รวดเร็ว ยิ่งขึ้น . 2. FSN Classification FSN จะเป็นการคัดแยกประเภทของวัสดุคงคลังตามความถี่การใช้งานหรือเราเรียการว่า Turnover นั้นแหละครับ โดยอักษร F ย่อมาจาก Fast (เร็ว), S ย่อมาจาก Slow (ช้า), N ย่อมาจาก None (ไม่เคลื่อนไหว) โดยความถี่ที่จะจำแนก FSN นั้นอยู่ที่แต่ละองค์กรนะครับว่ามีนโยบายกำหนดรอบการหมุนเท่าไหร่ถือว่าหมุนเร็ว การได้มาซึ่งข้อมูลนั้นอาจต้องอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เช่น การดูในระบบคงคลัง การดูใน Stockcard การดูในใบรับจ่าย เป็นต้น . สูตรสำหรับการคำนวณ Turnover ที่นิยมใช้กันจะมีดังนี้ครับ 1. คำนวณ Inventory Turnover จากสัดส่วนของจำนวนสินค้าที่ขายได้ระหว่างปี(หรือวัสดุคงคลังที่ใช้งานไประหว่างปี) ต่อจำนวนสินค้าคงคลังเฉลี่ยที่มีอยู่ในระหว่างปี วิธีนี้เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการคำนวณสินค้าเป็นรายการ (Stock Keeping Unit – SKU) หรือเป็นองค์กรที่มีสินค้าเพียงรายการเดียว ถ้าสินค้าแต่ละชนิดก่อให้เกิดรายได้ที่แตกต่างกัน การใช้สูตรที่ 1 จะทำให้การแปลความหมายเบี่ยงเบนจากความเป็นจริง . . 2. คำนวณ Inventory Turnover จากสัดส่วนของยอดขายรวมในระหว่างปีต่อมูลค่าสินค้าคงคลังเฉลี่ยที่มีอยู่ในระหว่างปี วิธีนี้เหมาะสำหรับองค์กรดำเนินธุรกิจแบบซื้อสินค้ามาขาย เนื่องจากสามารถหาข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณได้ง่าย และเห็นภาพชัดเจนว่าองค์กรสามารถทำให้สินค้าคงคลังเกิดยอดขายได้กี่รอบต่อปี . . 3. คำนวณ Inventory Turnover จากสัดส่วนของต้นทุนสินค้าขาย (Cost of Goods Sold: COGS)ในระหว่างปีต่อมูลค่าสินค้าคงคลังเฉลี่ยที่มีอยู่ในระหว่างปี วิธีนี้เหมาะสำหรับองค์กรที่มีข้อมูลต้นทุนสินค้าขายการคำนวณด้วยวิธีนี้เป็นคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงภาพการหมุนเวียนของสินค้าคงคลังได้ชัดเจนที่สุด เพราะได้แยกส่วนที่เป็นกำไรออกจากยอดรวมแล้ว . . ต้นทุนสินค้าขาย (Cost of Goods Sold: COGS) คือ ต้นทุนของสินค้าในการทำให้พร้อมสำหรับการขาย เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการผลิต ค่าบรรจุหีบห่อ ค่าขนส่ง และอื่นๆ โดยใช้ข้อมูลจากผลการดำเนินงานประจำปี (งบกำไรขาดทุน) . ต้นทุนสินค้าขาย = (สินค้าสำเร็จรูปคงเหลือต้นงวด + ต้นทุนการผลิตสินค้าสำเร็จรูป) – สินค้าสำเร็จรูปคงเหลือปลายงวด . 4. คำนวณ Inventory Turnover จากปริมาณ หรือมูลค่าความต้องการในการเบิกจ่ายสินค้าหรือวัตถุดิบ เทียบกับความต้องการเฉลี่ยตามช่วงเวลา . . *หมายเหตุ : ดูเพิ่มเติมได้จากคู่มือการประเมินประสิทธิภาพและศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม www.dol.dip.go.th เข้าไปเอกสารเผยแพร่ iLPI . ตัวอย่าง การใช้งานจากสูตรที่ 4 กำหนดให้วัสดุคงคลังที่มี % รอบการหมุนมากกว่า 30% เป็นหมุนเร็ว F , 5 – 30% เป็น S , ต่ำกว่า 5 % เป็น N . . 3. VED Classification VED จะเป็นการแบ่งประเภทวัสดุคงคลังเราโดยแบ่งตามความสำคัญ !!! ความสำคัญที่ว่านี้คือองค์กรต้องกำหนดเองว่าความสำคัญคืออะไร ผลกระทบถ้าหากขาดจะเป็นอย่างไร แต่ละองค์กรต้องทราบนะครับถึงจะแบ่ง VED โดยเราให้อักษรย่อ ดังนี้ . V = Vital (วัสดุสำคัญ) : มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิตมาก เป็นส่วนประกอบของ Core Product (สินค้าหลักขององค์กร) ถ้าขาดไปแล้วจะผลิตไม่ได้ ส่งผลกระทบทั้งกระบวนการผลิต ทำให้ต้องหยุดทำงาน หรือถ้าขาดไปแล้วอาจจะเสียลูกค้าไปได้เลยประมาณนั้น หรือมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกาย ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม กฎหมาย ถ้าหากขาดไปอาจทำให้สุขภาพเสีย เกิดอุบัติเหตุ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบๆ โรงงานหรือชุมชน ถ้าหากไม่มีก็อาจผิดข้อกฎหมายจนกระทั่งเกิดการฟ้องร้องจนถึงขั้นปิดโรงงานได้ . E = Essential (วัสดุจำเป็น) : มีความสำคัญระดับปานกลางต่อองค์กร ถ้าหากขาดไปก็ดำเนินการผลิตได้แต่อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน ประสิทธิภาพสินค้า คุณภาพสินค้า ไม่ได้ 100% แต่ไม่ส่งผลให้การผลิตหรือการดำเนินกิจการต้องหยุด (ถ้าเป็นภาษาคนทำงานก็ถ้าขาดไปก็ยังพอถูไถได้ครับ) . D = Desirable / Auxiliary (วัสดุสนับสนุน) : มีความสำคัญน้อย ขาดไปก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับองค์กร หรือสามารถใช้สิ่งอื่นๆ ทดแทนได้โดยไม่มีผลต่อคุณภาพ . 4. HML Classification HML เป็นการแบ่งประเภทวัสดุคงคลังตามราคา โดยองค์กรต้องกำหนดว่าราคาแพงนั้นอยู่ในเรทเท่าไหร่ ซึ่งแตกต่างกันไปตามนโยบายบริษัท ซึ่งราคาดังกล่าวอาจจะกำหนดโดยราคาตลาด ฝ่ายจัดซื้อ หรือผู้บริหารก็ได้ทั้งนั้น หรืออาจจะนำราคาทุก SKU (Stock Keeping Unit) มาเรียงคล้ายๆ หลัก ABC แล้วกำหนดว่า 10% แรก 20% แรก หรืออะไรก็แล้วแต่ตามใจของแต่ละองค์กรเลย เป็นสินค้าประเภท HML ตามอัตราส่วนกันไป ซึ่งสามารถแบ่ง HML ตามอักษรย่อได้ดังนี้ . H = High (วัสดุมีราคาแพง) เช่น พวกทอง(ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์) ทองแดง ลูกปืน เป็นต้น วัสดุพวกนี้เป็นการยกตัวอย่างจากประสบการณ์ที่แอดมินเคยอยู่ในบริษัทมานะครับ . M = Medium (วัสดุมีราคาปานกลาง) อันนี้แล้วแต่แต่ละองค์กรกำหนดเลย . L = Low (วัสดุมีราคาถูก) เช่น พวกน๊อต สกรู อะไหล่พลาสติกที่ฉีดมาปริมาณมากๆ เป็นต้น . 5. SDE Classification SDE เป็นการแบ่งประเภทวัสดุคงคลังตามระยะเวลาการส่งมอบสินค้าและระดับการสรรหาวัสดุ (ยาก ง่าย) มักจะใช้ตัดสินว่าเราควรสต๊อกของหรือไม่ โดยทั้งนี้สถานประกอบการต้องทราบ Lead time ที่แน่นอนของวัสดุ แหล่งสรรหาวัสดุ จึงจะสามารถวัดตรงนี้ได้ ส่วนการกำหนดว่าอะไรช้าเร็ว หายากหาง่าย ก็อยู่ที่การจัดสรรสมดุลระหว่างคำสั่งซื้อลูกค้า การส่งมอบซัพพลายเออร์ การผลิตขององค์กรนั้นๆ ด้วย ถ้าอยากให้ชัวร์ต้องคุย Lead time กับซัพพลายเออร์ดีๆ ก่อนจะนำการแบ่งประเภทนี้ เราจะแบ่ง SDE ตามอักษรต่อไปนี้ . S = Scarce (วัสดุขาดแคลน) เช่น เป็นวัสดุที่เราต้องสั่งจากต่างประเทศ ซัพพลายเออร์เรามีลูกค้าเยอะ เราอยากได้ของไม่แต่ตรงกับฤดูกาลผลิต เป็นสินค้าสั่งผลิตเฉพาะพิเศษ สินค้าวัตถุดิบตกรุ่นไปแล้ว ซัพพลายเออร์ชอบเบี้ยวส่งเลท ไม่รู้ Lead time ก็ต้องคำนึงถึงตรงนี้ด้วย . D = Difficult (วัสดุหายาก) เช่น เป็นวัสดุควบคุมในการสั่ง(สั่งได้ที่ละเท่านั้นเท่านี้) วัสดุที่ใช้ระยะเวลาในการส่งนาน(แบบไหนเรียกว่านานก็อยู่ที่องค์กรตัดสินเลยครับ ให้มันสมดุลกับ Lead time ลูกค้า กับระยะเวลาการผลิตเรา) มีผู้จำหน่ายน้อยราย ต้องรอคิว เป็นต้น . E = Easy (วัสดุหาง่าย) เช่น วัสดุที่มีตามท้องตลาดทั่วไป มีผู้ผลิตอยู่มาก หาวัสดุทดแทนใช้แทนกันได้ง่าย สั่งปุ๊บได้ปั๊บ มาวัสดุพื้นฐาน (น๊อต สกรู ท่อ PVC อะไรพวกนี้) . . ========================= . เห็นไหมครับนอกเหนือ ABC แล้วเรายังสามารถแบ่งประเภทวัสดุคงคลังเราได้หลากหลายมิติมาก และเพื่อให้เกิดการวิเคราะห์ข้อมูล บทความต่อไปแอดมินจะลงเกี่ยวกับการนำประเภททั้ง 5 มาทำ Matrix เพื่อให้ทราบวิธีการนำไปใช้จริงในสถานประกอบการ เพราะการจำแนกประเภทสินค้าจะสามารถทำให้เราลดต้นทุน เวลา ขั้นตอนการทำงานได้อย่างมาก ไว้ Like สาระโลจิสติกส์ในบทความหน้าเราจะประยุกต์ใช้จริงๆ กันนะครับ และถ้าหากชอบใจบทความเรา กดไลค์ กดแชร์ ให้กับกองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมด้วยนะครับ
07 เม.ย. 2564
IAR (Inventory Accuracy Rate)
[Like สาระโลจิสติกส์ ] โดย ธีรศักดิ์ โคทนา นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม . สวัสดีแฟนเพจทุกท่านเช่นเคยนะครับ วันนี้แอดมินก็จะมานำเสนอตัวชี้วัดที่วัดแสนง่าย หลายๆ องค์กรน่าจะทำกันอยู่แล้ว แต่ว่าทำแล้วได้ข้อมูลอะไรจากตัวชี้วัดนี้บ้างละ องค์กรได้นำข้อมูลไปใช้อะไรบ้าง ตัวชี้วัดที่จะบอกก็คือ IAR (Inventory Accuracy Rate) หรือ อัตราความแม่นยำของสินค้าคงคลัง ถ้าในภาษาอุตสาหกรรมเราๆ ก็คือ สต๊อกจริง เทียบสต๊อกในระบบ นั้นแหละครับ IAR ยังเป็นตัวชี้วัดที่แสดงความน่าเชื่อถือของการบริหารจัดการสินค้าคงคลังในคลังสินค้า โดยการเปรียบเทียบจำนวนสินค้าที่บันทึกไว้ หรืออยู่ในระบบ เทียบกับสินค้าที่นับได้จริง และแน่นอนถ้าหาก IAR สูงมากๆ ก็เท่ากับว่าปัญหาเช่น การสั่งซื้อซ้ำซ้อน ปัญหาของขาด ก็จะน้อยลงไปด้วย หลายๆ องค์กรนำ IAR ไปเป็น KPI ชี้วัดฝ่ายคงคลัง เนื่องจาก IAR จะครอบคลุมฟังก์ชั่นการทำงานการทำงานของแผนกคงคลัง เช่น การรับเข้า การเบิกออก นับสต๊อก การบันทึกข้อมูล ฟังก์ชั่นการทำงานเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปร IAR ทั้งสิ้น . . IAR (Inventory Accuracy Rate) นั้นสำคัญไฉน ? . อย่างที่บอกไปว่า IAR เป็นตัวชี้วัดที่วัดง่ายมากๆ และทำกันแทบจะทุกสถานประกอบการตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ แต่!!! ในขณะเดียวกันเจ้าตัวชี้วัด IAR นี้ก็ทำให้สถานประกอบการปวดหัวมากๆ เหมือนกัน เนื่องจากมีสถานประกอบการ SMEs จำนวนมากในประเทศไทยที่มีค่า %IAR เฉลี่ยต่ำกว่า 80% และทุกสถานประกอบการล้วนอยากจะให้ค่า IAR ของตัวเองอยู่ที่ 100% ทั้งนั้น (มีนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่มีสถานประกอบการที่มีค่า IAR 100%) . ถ้าหากองค์กรท่านไม่มีการวัด IAR เลยนั้น เท่ากับว่าท่านประกอบธุรกิจแบบเสี่ยง อะไรนะ!? แค่ไม่วัด IAR เนี่ยะนะเสี่ยง!? ใช่ครับ ถ้าหากท่านไม่กำหนด IAR ท่านจะไม่ทราบเลยว่าสินค้าหรือวัตถุดิบของท่านมีจำนวนที่แท้จริงเท่าไหร่ สามารถใช้งานจริงได้เท่าไหร่ มันจะเป็นต้นเหตุของปัญหาหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น สต๊อกมากเกิน สต๊อกขาด/ของขาดผลิต รอคอย(รอของ) ล่าช้า(ส่งผลมาจากรอของ) กระบวนการที่เพิ่มมากขึ้นเพราะจะใช้ของทีก็ไปตรวจที ถ้าวัตถุดิบมีปัญหาหรือผิดพลาดก็ไม่มีทดแทน เป็นต้นย้ำนะครับว่าเป็นต้น เนื่องจากปัญหายังมีอีกมากและทั้งหมดทั้งมวลนี้จะทำให้เรา “เสียลูกค้า” เป็นไงบ้างครับเสี่ยงหรือยังแค่ไม่วัด IAR ตัวแปรง่ายๆ ที่สำคัญ . . มาดูกันดีกว่า IAR เราคำนวณอย่างไร . กำหนด X = จำนวนสินค้าหรือวัตถุดิบที่บันทึกไว้ หรืออยู่ในระบบ Y = จำนวนสินค้าหรือวัตถุดิบที่นับได้จริง . สูตร . * | Y – X | หมายความว่า ค่าสัมบูรณ์ของ Y – X นะครับ ไม่ว่าจำนวนจะออกมาติดลบ( - ) หรืออะไรยังไงค่าตรงนี้เป็นบวกเสมอ เช่น 25 – 30 = -5 แต่ถ้า | 25 – 30 | = 5 เห็นไหมครับว่าถ้าใส่สัญลักษณ์ค่าสัมบูรณ์เข้าไปตัวเลขจากติดลบ ผลก็จะกลายเป็นบวก เพราะค่าสัมบูรณ์มีไว้บอกระยะห่างของจำนวนเฉยๆ ครับ . ตัวอย่าง ตลอดปี 2563 บริษัทผลิตอาหารได้ตรวจนับจำนวนวัตถุดิบ สินค้าระหว่างผลิต และสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง ประจำปี ตามรอบบัญชี ทั้งหมดได้ 3,165 รายการ แต่เปิดดูจากระบบบัญชีสินค้า มีจำนวนทั้งหมด 3,240 รายการ สามารถคำนวณได้ดังนี้ . . . IAR Tip . จากโจทย์จะเห็นว่าเป็นการนับจำนวนสินค้าทั้งหมดทั้งหมดทุกยูนิต (ไม่แยก SKU) และจะเห็นได้ว่า ตามรอบบัญชี แสดงว่า 1 ปีนับ 1 ครั้ง ซึ่งถือว่าน้อยมาก แอดมินแนะนำว่าการนับสต๊อกนั้นผู้ประกอบการอย่างน้อยควรแบ่งคลาสด้วย ABC Analysis เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการจัดรอบการนับสต๊อก (Cycle Count) และการนับสต๊อกนั้น ควรแบ่งระหว่าง วัตถุดิบ และสินค้าสำเร็จรูป ควรนับเป็น Unit Per SKU ตัวอย่างเช่น วัตถุดิบ หรือ สินค้าประเภท A Class ควรนับทุกๆ 1 เดือน B Class ทุกๆ 3 เดือน และ C Class ทุกๆ 6 เดือน เป็นต้น รวมถึงการกำหนด KPI ให้เหมาะสม เช่น Class A อาจกำหนด IAR ไว้ 95% - 100% เพราะมีความสำคัญสูงขาดไม่ได้ ใช้เวลาส่งนาน Class B 90 – 95% Class C ไม่ต่ำกว่า 85% เป็นต้น และถ้าหากทำได้ตาม KPI ก็ค่อยปรับ % IAR ให้สูงขึ้น หรือถ้าหากไม่ถึงตาม KPI ให้ประชุมหาแนวทางและสาเหตุให้ค่า IAR ได้ตาม KPI ตัวอย่างที่แอดมินยกมานั้นเพียงเพื่อให้เห็นภาพในการใช้งาน ผู้ประกอบการอาจมี %IAR และ KPI ที่เหมาะสมองค์กรของท่านก็ให้ประยุกต์ได้ตามความเหมาะสมเลยครับ . . ========================= . เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ IAR ตัวชี้วัดง่ายๆ ที่สำคัญมากๆ วันนี้แอดมินก็ขอมาเกริ่นเรื่อง IAR ให้รู้จักกันก่อน ส่วนเรื่องเชิงลึกการปรับปรุงพัฒนา %IAR ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร ไว้ Like สาระโลจิสติกส์ จะมาแชร์ข้อมูลให้ทุกท่านอีกครั้งนะครับ
17 มี.ค. 2564
กองโลจิสติกส์ ขอเชิญสถานประกอบการ จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาเปิดโครงการ Workshop สัญจรขยายผลความรู้ ภาคอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค ประจำปี 2564
. กิจกรรมสัมมนาเปิดโครงการ "Workshop สัญจร ขยายผลความรู้ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ภาคอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค" ประจำปี 2564 จ.พระนครศรีอยุธยา . . สมัครเข้าร่วมโครงการ: วันนี้ - 17 มีนาคม 2564 . . กลุ่มเป้าหมายโครงการ 1. อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร 2. เกษตรอุตสาหกรรม 3. ปิโตรเคมีและพลาสติกส์ 4. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 5. ยางและผลิตภัณฑ์ยาง * ในกิจกรรมสัมมนาฯ จะเปิดให้สถานประกอบการสมัคร เพื่อเข้าร่วมโครงการ Workshop สิ่งที่ SMEs จะได้รับ หลังสมัครเข้าร่วมในงานเปิดโครงการฯ - อบรมความรู้ตัวชี้วัด สร้างกลยุทธ์ เชิงปฏิบัติจริง ในการประยุกต์ IT Logistics ที่ใช้งานได้จริง เป็นเวลา 3 วัน - ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้า เข้าช่วยวิเคราะห์ปัญหาหน้างานจริง ติดตั้ง IT เพื่อใช้งานจริง ณ สถานประกอบการจริง และวัดผลได้จริง เป็นเวลา 3 วัน โดยมีเป้าหมายเป็นการลดต้นทุนให้สถานประกอบการอย่างน้อย 10% - สถานประกอบการที่มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม เกิดผลลัพธ์ จะได้รับการเชิดชูเป็นแบบอย่าง ในรูปแบบสื่อวิดิทัศน์ ในราย Best Practice ของโครงการ . . . . สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 02 202 4540 กลุ่มสารสนเทศโลจิสติกส์ คุณอนพัทย์(ต้อง) 084 644 6768 คุณภาณุพงศ์(ไผ่) 087 304 7573
08 มี.ค. 2564
กองโลจิสติกส์ ขอเชิญสถานประกอบการ จ.นครพนม เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาเปิดโครงการ Workshop สัญจรขยายผลความรู้ ภาคอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค ประจำปี 2564
. กิจกรรมสัมมนาเปิดโครงการ "Workshop สัญจร ขยายผลความรู้ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ภาคอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค" ประจำปี 2564 จ.นครพนม . . สมัครเข้าร่วมโครงการ: วันนี้ - 23 มีนาคม 2564 . . กลุ่มเป้าหมายโครงการ 1. อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร 2. เกษตรอุตสาหกรรม 3. ปิโตรเคมีและพลาสติกส์ 4. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 5. ยางและผลิตภัณฑ์ยาง * ในกิจกรรมสัมมนาฯ จะเปิดให้สถานประกอบการสมัคร เพื่อเข้าร่วมโครงการ Workshop สิ่งที่ SMEs จะได้รับ หลังสมัครเข้าร่วมในงานเปิดโครงการฯ - อบรมความรู้ตัวชี้วัด สร้างกลยุทธ์ เชิงปฏิบัติจริง ในการประยุกต์ IT Logistics ที่ใช้งานได้จริง เป็นเวลา 3 วัน - ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้า เข้าช่วยวิเคราะห์ปัญหาหน้างานจริง ติดตั้ง IT เพื่อใช้งานจริง ณ สถานประกอบการจริง และวัดผลได้จริง เป็นเวลา 3 วัน โดยมีเป้าหมายเป็นการลดต้นทุนให้สถานประกอบการอย่างน้อย 10% - สถานประกอบการที่มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม เกิดผลลัพธ์ จะได้รับการเชิดชูเป็นแบบอย่าง ในรูปแบบสื่อวิดิทัศน์ ในราย Best Practice ของโครงการ . . . . สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 02 202 4540 กลุ่มสารสนเทศโลจิสติกส์ คุณอนพัทย์(ต้อง) 084 644 6768 คุณภาณุพงศ์(ไผ่) 087 304 7573
05 มี.ค. 2564
S-DIFOT (Supplier - Delivery In Full On Time)
[Like สาระโลจิสติกส์ ] โดย ภาณุพงศ์ คำผาด วิศวกรปฏิบัติการ กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม . สวัสดีแฟนเพจกองโลจิสติกส์ทุกท่านนะครับ วันนี้แอดมินก็จะมานำเสนอคำว่า “S-DIFOT” นิยมเรียกกันในวงการว่า “เอส-ไดฟอต” เนื่องจากครั้งที่แล้วเราได้พูดถึง DIFOT ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกี่ยวกับองค์กรเราไปสู่ลูกค้า วันนี้เรามาพูดถึงกระบวนการจาก Supplier มาถึงเราบ้างดีกว่า . S-DIFOT คืออะไร แล้วทำไมต้องรู้จัก ? . “S-DIFOT” (Supplier Delivery In-Full and On Time Rate) คือ อัตราความสามารถของการจัดส่งสินค้าของซัพพลายเออร์นั้นเอง SDIFOT นี้จะวัดคำสั่งซื้อ หรือใบ PO (Purchase Order) ทั้งหมดที่เราเปิดไปให้กับ Supplier แล้ววัดว่า Supplier นั้นส่งของให้เราครบไหม ตรงเวลาหรือไม่ ซึ่งเราอาจจะเอาตัวชี้วัดไปตั้งเป็น KPI (หรือจะเป็นตัวชี้วัดอะไรก็แล้วแต่นะครับ) เพื่อประเมิน Supplier จัดลำดับว่า Supplier รายใดควรจะเป็น Supplier หลัก รวมถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆ ถ้าหากค่า S-DIFOT ต่ำๆ แสดงว่ากระบวนการจัดส่งสินค้าจาก Supplier มายังผู้ผลิตมีปัญหา ตัวอย่างปัญหาเช่น ของส่งมาไม่ครบตาม PO ที่เปิดไป หรือของที่ส่งมาไม่ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ใน PO เกิดจากการวางแผนไม่เหมาะสม การกำหนด Leadtime ไม่สมดุล การสื่อสารกับ Supplier ไม่ชัดเจน เป็นต้น ถ้าหากเราวัด S-DIFOT ก็จะสามารถทำให้เราวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายขึ้นเป็นตัวเลขที่ชัดเจน(ไม่ได้ใช้ความรู้สึกในการวัด) หรืออาจจะนำไปประยุกต์ในการให้คะแนน Supplier ในกรณีที่ใช้ AHP (Analytic Hierarchy Process) เมื่อมีการคัดเลือกลำดับ Supplier หรือ จะนำไปตัดเกรด Supplier ก็สามารถทำได้ . การวัด S-DIFOT มักจะใช้หลักๆ 2 แบบ ได้แก่ . 1. Internal Supply Chain เป็นการที่ผู้บริหารที่ต้องการวัดประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายจัดซื้อร่วมกับ Supplier หรือต้องการทราบปัญหาเกี่ยวกับการจัดซื้อในด้านเวลา และด้านความครบถ้วน โดยรวมของฝ่ายจัดซื้อ ตัวอย่างการใช้ : ผู้จัดการบริษัทต้องการวัดประสิทธิภาพโดยรวมของฝ่ายจัดซื้อโดยตั้ง KPI S-DIFOT ของฝ่ายจัดซื้ออยู่ที่ 95% โดยคิดจากจำนวนปริมาณใบ PO ทั้งหมดที่ออกจากฝ่ายจัดซื้อ เพื่อต้องการทราบปัญหาว่าการทำงานระหว่างฝ่ายจัดซื้อและ Supplier ตอบสนอง KPI ในด้านเวลา และด้านความครบถ้วน เป็นต้น . 2. Upstream Supply Chain เป็นการที่ฝ่ายจัดซื้อต้องวัดประสิทธิภาพของ Supplier แต่ละรายว่าเหมาะสมหรือตรงความต้องการขององค์กรหรือไม่ ตัวอย่างการใช้ : ฝ่ายจัดซื้อต้องการวัดประสิทธิภาพ Supplier โดยตั้ง KPI S-DIFOT ให้ Supplier แต่ละรายเพื่อต้องการจัดลำดับและตัดเกรด Supplier 95 – 100 % เกรด A 90 – 94 % เกรด B 85 – 89 % เกรด C และต่ำกว่า 85% ต้องพิจารณา Supplier รายนั้นๆ เป็นต้น . . มาดูการคิดตัวชี้วัดของเราดีกว่า "S-DIFOT" (เอส-ไดฟอต) การคำนวณมีสูตรดังนี้ . กำหนด X = จำนวนใบสั่งซื้อ (Purchase Order) ทั้งหมดที่บริษัทเราส่งให้แก่ Supplier Y = จำนวนใบสั่งซื้อ (Purchase Order) ทั้งหมดที่ Supplier ได้ทำการส่งมอบสินค้าให้เราครบตามจำนวน Z = จำนวนใบสั่งซื้อ (Purchase Order) ทั้งหมดที่ Supplier ได้ทำการส่งมอบสินค้าให้เราครบตามเวลา (ต้องตรงเวลาด้วยนะ ห้ามก่อนกำหนด เพราะถ้าการส่งมาก่อนกำหนดนั้นหมายถึงเราจะต้องถือครอง Inventory นานกว่าปกติ หรือเรียกง่ายๆ ก็ทำให้สต๊อกเราเพิ่มนั้นเอง) . สูตร . ตัวอย่าง ตลอดปี 2563 บริษัทผลิตอาหารแปรรูปแห่งหนึ่ง แผนกจัดซื้อได้ออกใบสั่งซื้อวัตถุดิบและส่งไปยังซัพพลายเออร์ 001 ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ เกรด A จำนวน 3,210 ใบสั่งซื้อ บริษัทได้รับสินค้าครบตามจำนวนที่สั่งซื้อ 3,100 ใบสั่งซื้อ และได้รับสินค้าตรงตามเวลาที่กำหนด จำนวน 3,000 ใบสั่งซื้อ . แผนกจัดซื้อได้ออกใบสั่งซื้อวัตถุดิบและส่งไปยังซัพพลายเออร์ 002 ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ เกรด B จำนวน 2500 ใบสั่งซื้อ บริษัทได้รับสินค้าครบตามจำนวนที่สั่งซื้อ 2,490 ใบสั่งซื้อ และได้รับสินค้าตรงตามเวลาที่กำหนด จำนวน 2,495 ใบสั่งซื้อ . ฝ่ายจัดซื้อต้องการวัดประสิทธิภาพ Supplier โดยตั้ง KPI S-DIFOT ให้ Supplier แต่ละรายเพื่อต้องการจัดลำดับและตัดเกรด Supplier ดังนี้ 95 – 100 % เกรด A 90 – 94 % เกรด B 85 – 89 % เกรด C อัตราความสามารถของการจัดส่งสินค้าของชัพพลายเออร์ สามารถคำนวณได้ ดังนี้ . วิเคราะห์ตัวแปร . - บริษัทเปิด PO ไปหาซัพพลายเออร์ = X (ก็คือใบ PO ทั้งหมดที่ส่งให้แก่ Supplier เจ้านี้แหละ ถ้าจะวัด Supplier ต่อเจ้าให้คิดเฉพาะเจ้า ถ้าจะวัดเพื่อดูความเหมาะสมกระบวนการสั่งซื้อโดยรวม ถ้าเราประสบปัญหาเรื่องวิเคราะห์ Leadtime หรือ Stock บริษัทเรา ก็ให้คิดทั้งหมดได้ อยู่ที่มุมมองคนจะเอาข้อมูลวิเคราะห์) . - บริษัทได้รับสินค้าครบตามจำนวนที่สั่งซื้อ = Y (ถ้าใน 1 PO มี 10 รายการ ถ้าได้รับแค่ 9 รายการ หรือจำนวนไม่ครบ ก็ไม่นับว่า PO นั้นได้รับของครบนะครับ ครบคือต้องครบจริงๆ และครบทั้งหมด) . - บริษัทได้รับสินค้าตรงตามเวลาที่กำหนด = Z (เหมือนกัน ถ้า 1 PO มี 10 รายการสินค้าก็ต้องตรงเวลาทั้ง 10 รายการ หากช้ารายการใดรายการหนึ่ง หรือมาก่อนเวลา ไม่ถือว่า PO นั้นตรงเวลา) . คำนวณได้ดังนี้ . ซัพพลายเออร์ 001 . ซัพพลายเออร์ 002 . จะเห็นได้ว่า S-DIFOT นั้นสามารถนำมาประเมิน Supplier ได้ ซึ่งเป็นอีกตัวชี้วัดที่สามารถทำได้ง่าย และแทบจะทุกองค์กรนั้นมีข้อมูลอยู่แล้ว ดังนั้นผล % ที่ออกมาอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องตัดสินใจว่าจะเลือก Supplier รายใดเป็น Supplier หลัก หรืออาจมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ Supplier หลักมีคะแนนลดลง ก็ให้พูดคุยปรึกษาหาปัญหาร่วมกันอีกที เนื่องจากการพิจาณา supplier นั้นมีหลายมิติมาก อยู่ที่ว่าองค์กรนั้นจะจับด้านใดเป็นหนักน้ำในการชี้วัด ถ้าตามหลัก 7 R Logistics ได้ระบุไว้ว่า . 7 Right (7R) Logistics Right Product : ส่งผลิตภัณฑ์ถูกต้อง Right Quantity : ส่งผลิตภัณฑ์ในจำนวนที่ถูกต้อง Right Conviction : ส่งผลิตภัณฑ์ที่ไม่เสียหาย Right Customer : ส่งของให้ถูกลูกค้า Right Place : ส่งให้ถูกสถานที่ Right Time : ส่งของให้ทันเวลา Right Cost : ต้นทุนที่ถูกและถูกต้อง (Right and Cheap) . ========================= . สุดท้ายนี้อยากฝาก S-DIFOT ให้กับทุกๆ องค์กรได้พิจารณานำมาประยุกต์ใช้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอีกหลายๆ ตัวชี้วัดด้านโลจิสติกส์ ไว้แอดมินจะมาแชร์ความรู้ในหัวข้อต่อๆ ไปให้นะครับ
03 มี.ค. 2564
เอกสารทั่วไป
. *เอกสารดาวน์โหลดฟรีของทางหน่วยงานราชการ ถูกคุ้มครองตามพระราชบัญญัติทรัพย์สินทางปัญญาฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ขอสงวนสิทธิ์ ห้ามผู้ดาวน์โหลดทำซ้ำ ดัดแปลง จำหน่าย หรือแสวงหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ อันถือเป็นการกระทำความผิดทางอาญา . . คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไฟล์
01 มี.ค. 2564
DIFOT (Delivery In Full On Time)
[Like สาระโลจิสติกส์ ] โดย ธีรศักดิ์ โคทนา นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม . วันนี้แอดมินจะมานำเสนอคำศัพท์ที่นักโลจิสติกส์ต้องรู้นะครับ แอดมินขอเสนอคำว่า "DIFOT" (ไดฟอต) ซึ่งชื่อเต็มก็คือ DIFOT (Delivery In Full On Time) . Credit รูปภาพ : Business photo created by rawpixel.com - www.freepik.com . ทำไมต้อง DIFOT ? . โมเดลธุรกิจในแต่ละยุคสมัยไม่เหมือนกัน ในอดีตเราจะเห็นได้ว่าธุรกิจที่สามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมาก ธุรกิจที่มีขนาดหรือกำลังการผลิตที่สูง มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ(จากการผลิตทีละมากๆ) จะเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในโมเดลธุรกิจในอดีต แต่ปัจจุบันการแข่งในโลกธุรกิจยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป จะเห็นได้ว่าใครไวกว่าได้เปรียบ ใครตรงเวลาได้เปรียบ เราจะเห็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็น Start up มากมายเกิดขึ้นในยุคนี้ เพื่อตอบสนองการส่งมอบสินค้าของธุรกิจต่างๆ ตัวอย่างที่เราเห็นก็ไม่ใกล้ไม่ไกล เช่น ในการซื้อของออนไลน์ แม้กระทั่งการสั่งอาหารที่อยู่ใกล้ตัวเราในชีวิตประจำวัน จะเห็นว่าถ้าเทียบกับอดีตที่ต้องรอการคอนเฟิร์มออเดอร์นั้นจะใช้เวลาหรือการตรวจสอบต่างกับปัจจุบันมาก ในตอนนี้ก็แทบจะไม่ถึง 10 นาที ในการคอนเฟิร์มออเดอร์ด้วยซ้ำ ใครซื้อของออนไลน์หรือสั่งของจะทราบดีว่าถ้าเรารอสินค้านานเราก็จะมีตัวเลือกเจ้าอื่นให้เราเลือกมากมาย ดังนั้นการที่เราจะพัฒนาการตอบสนองความต้องการและให้เกิดความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องกำหนดตัวชี้วัดให้กับกิจกรรมการส่งมอบ . มาดูการคิดตัวชี้วัดของเราดีกว่า "DIFOT" (ไดฟอต) คือตัวชี้วัดที่เป็นมิติแสดงความน่าเชื่อถือในการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และตรงเวลา ตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้ตั้งแต่ยืนยันคำสั่งซื้อจนกระทั่งได้รับสินค้า มีสูตรการคำนวณดังนี้ กำหนด X = จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมดที่ได้ทำการส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้า Y = จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมดที่ได้ทำการส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าครบตามจำนวนรายการในใบสั่งซื้อ Z = จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมดที่ได้ทำการส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลาที่กำหนดให้แก่ลูกค้า . สูตร . ตัวอย่าง จากการสรุปยอดขายใน 2561 ที่ผ่านมา บริษัทผลิตอาหารแปรรูปแห่งหนึ่ง ได้จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าตามจำนวนรายการใบสั่งซื้อ (Order) ทั้งหมด 6,340 คำสั่งซื้อ และได้ดำเนินการจัดส่งสินค้าได้ครบตามจำนวนรายการที่ลูกค้าต้องการ 6,280 คำสั่งซื้อ และจากจำนวนการสั่งซื้อทั้งหมด บริษัทสามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้ได้ตรงเวลาตามเงื่อนไขการสั่งซื้อ 6,300 คำสั่งซื้อ อัตราความสามารถของการส่งมอบสินค้า(DIFOT) สามารถคำนวณได้ดังนี้ . วิเคราะห์ตัวแปร - จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าตามจำนวนรายการใบสั่งซื้อ (Order) ทั้งหมด 6,340 คำสั่งซื้อ = X * สังเกตว่าเราจะนับเฉพาะ Order ที่ “ส่งมอบถึงลูกค้าแล้วเท่านั้น” จริงๆ บริษัทอาจจะมี Order 10,000 คำสั่งซื้อ แต่การวัด DIFOT นั้นไม่ต้องไปคิด Order ที่ยังไม่ถึงลูกค้า - ดำเนินการจัดส่งสินค้าได้ครบตามจำนวนรายการที่ลูกค้าต้องการ 6,280 คำสั่งซื้อ = Y *ครบตามจำนวนหมายถึง 1 คำสั่งซื้อ อาจจะมี 10 รายการ ต่อ 1 คำสั่งซื้อ ดังนั้น ถ้าหากไม่สามารถส่งรายการใดรายการหนึ่งใน Order ไม่ถือว่าครบ ดังนั้นจาก 6,340 คำสั่งซื้อ จะมีกี่รายการไม่รู้แหละ แต่ที่ส่งครบตามคำสั่งซื้อมี 6,280 คำสั่งซื้อ - บริษัทสามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้ตรงเวลาตามเงื่อนไขการสั่งซื้อ 6,300 คำสั่งซื้อ = Z คือ จาก Order ที่แทนค่าด้วย X เราส่งได้ตรงตามเวลาที่ลูกค้ากำหนด 6,300 คำสั่งซื้อ . คำนวณได้ดังนี้ . = 98.43% . สรุปได้ว่าอัตราความสามารถของการส่งมอบสินค้า(DIFOT) ของบริษัทอยู่ที่ 98.43% . จะเห็นได้ว่าการมีตัวชี้วัดว่าความสำเร็จในการตอบสนองมิติความน่าเชื่อถือ สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลข เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงเติมเต็มให้กับลูกค้าเราพึงพอใจได้ บริษัทที่จ้าง Supplier เป็นผู้ขนส่งสินค้าจากโรงงานอาจจะนำไปประยุกต์เพื่อประเมิน Supplier หรือจะเอาไว้เป็น KPI สำหรับองค์กรก็ได้ เพราะตามระบบมาตรฐานต่างๆ เช่น ISO ก็ให้องค์กรมีตัวชี้วัดในทุกๆ กิจกรรม แอดมินอยากฝาก "DIFOT" (ไดฟอต) ไว้ให้สถานประกอบการพิจารณาด้วยนะครับ . ========================= . มีอีกตัวชี้วัดที่น่าสนใจเป็นขั้นสูงของ DIFOT คือ อัตราการเติมเต็มคำสั่งซื้อสมบูรณ์ (Perfect Order Fulfillment Rate) เป็นการวัดความสามารถในการส่งมอบสินค้าที่ถูกต้อง ครบจำนวนที่สั่ง ถูกสถานที่ ตลอดจนเอกสารที่ส่งมอบถูกต้องตามคำสั่งซื้อ และตรงตามเงื่อนไข จะเห็นได้ว่ามีตัวแปรเพิ่มจาก DIFOT อยู่พอสมควร ไว้แอดมินจะมาสอนคำนวณ และเปรียบเทียบในครั้งหน้านะครับ
24 ก.พ. 2564
คู่มือการประเมินประสิทธิภาพ และศักยภาพ การจัการโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน (ฉบับล่าสุด)
. *เอกสารดาวน์โหลดฟรีของทางหน่วยงานราชการ ถูกคุ้มครองตามพระราชบัญญัติทรัพย์สินทางปัญญาฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ขอสงวนสิทธิ์ ห้ามผู้ดาวน์โหลดทำซ้ำ ดัดแปลง จำหน่าย หรือแสวงหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ อันถือเป็นการกระทำความผิดทางอาญา . . คลิกที่นี่เพื่อ ดาวน์โหลดไฟล์
16 ก.พ. 2564
ขอเชิญสถานประกอบการเข้ารับการอบรมออนไลน์ เรื่อง "แนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน (Supply Chain Roadmap Networking) ด้วยแบบจำลอง SCOR Model"
ขอเชิญสถานประกอบการเข้ารับการอบรมออนไลน์ เรื่อง "แนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน (Supply Chain Roadmap Networking) ด้วยแบบจำลอง SCOR Model" . . รับสมัคร ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย . . ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 08.30 - 16.30 น. ผ่าน Facebook Live/ระบบ zoom โดย อ.สิริพงศ์ จึงถาวรรณ, MBA, BEng, ACPE, CSCP, EPPM บริษัท ทำน้อยได้มาก จำกััด . ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 16-17 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 08.30 - 16.30 น. ผ่าน Facebook Live/ระบบ zoom โดย ดร.พงษ์เทพ ภูเดช มหาวิทยาลัยสวนสุนันทา . วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้สถานประกอบการเข้าใจความสำคัญของการสร้างความร่วมมือและเครือข่ายโซ่อุปทาน 2. เพื่อให้สถานประกอบการจัดทำโครงสร้างเครือข่ายโซ่อุปทาน จัดทำโครงการปรับปรุง (Action Plan Project) และสามารถนำไปใช้ประโยชน์กำหนดทิศทาง เป้าหมาย ตัวชี้วัดและกลยุทธ์ของธุรกิจได้ 3. สถานประกอบการสามารถวางแผนการจัดการสินค้าในโซ่อุปทาน และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้ . . สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม - คุณภาสันต์ วิชิตอมรพันธ์ - คุณวรรธนะ เรืองสำเร็จ โทร. 02 202 4510, 063 213 2097 E-mail: promote.dol@gmail.com
18 ม.ค. 2564
ขอเชิญสถานประกอบการ ในพื้นที่ 5 จังหวัด สมัครเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาเปิดโครงการ Workshop สัญจรขยายผลความรู้ ภาคอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค ประจำปี 2564
กิจกรรมสัมมนาเปิดโครงการ "Workshop สัญจร ขยายความรู้ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ภาคอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค" ประจำปี 2564 . . สมัครเข้าร่วมโครงการ: ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป . . พื้นที่จัดกิจกรรม 5 จังหวัด (เรียงลำดับทีละจังหวัด โดยเริ่มจาก จ.นครพนม) - เชียงใหม่ (ดำเนินการแล้ว) - นครพนม (ปลายเดือน ก.พ.64 นี้) - กระบี่ - ระนอง - อยุธยา *หมายเหตุ: เนื่องจากสถานปัจจุบัน เวลาและสถานที่จัดงานจะแจ้งให้ทราบภายหลัง สถานประกอบการในพื้นที่จังหวัดข้างต้น สามารถแจ้งความประสงค์ลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนได้ กลุ่มเป้าหมายโครงการ 1. อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร 2. เกษตรอุตสาหกรรม 3. ปิโตรเคมีและพลาสติกส์ 4. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 5. ยางและผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งที่ SMEs จะได้รับ หลังสมัครเข้าร่วมในงานเปิดโครงการ - อบรมความรู้ตัวชี้วัด สร้างกลยุทธ์ เชิงปฏิบัติจริง ในการประยุกต์ IT Logistics ที่ใช้งานได้จริง เป็นเวลา 3 วัน - ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้า เข้าช่วยวิเคราะห์ปัญหาหน้างานจริง ติดตั้ง IT เพื่อใช้งานจริง ณ สถานประกอบการจริง และวัดผลได้จริง เป็นเวลา 3 วัน โดยมีเป้าหมายเป็นการลดต้นทุนให้สถานประกอบการอย่างน้อย 10% - สถานประกอบการที่มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม เกิดผลลัพธ์ จะได้รับการเชิดชูเป็นแบบอย่าง ในรูปแบบสื่อวิดิทัศน์ ในราย Best Practice ของโครงการ . . . . สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 02 202 4540 กลุ่มสารสนเทศโลจิสติกส์ คุณอนพัทย์(ต้อง) 084 644 6768 คุณภาณุพงศ์(ไผ่) 087 304 7573
18 ม.ค. 2564